วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


ประวัติและความเป็นมา :

เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ในตำนานแรกๆ ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำนานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา กล่าวถึง ลัวะ ว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวีวงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะ ว่าเป็นคนเกิด ในรอยเท้าสัตว์ ด้วยเหตุที่ ลัวะ ถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนานรุ่นหลังอย่างตำนานสุวรรณคำแดง หรือ ตำนานเสาอินทขิล เล่าว่า ลัวะ เป็นผู้สร้าง เวียงเจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรี หรือ เชียงใหม่ ลัวะ จึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรก ที่สร้างเมือง แต่ก่อนหน้านี้ ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน ที่ลำพูน ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองเล่าว่า พระนางจามเทวีวงศ์ ธิดากษัตริย์เมืองละโว้ เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ.1310-1311 ครั้งนั้น พระนางได้พาบริวาร ข้าราชบริพาร ที่เชี่ยวชาญ ในศิลปวิทยาการต่างๆ ขึ้นมาด้วย หริภุญไชยจึงได้รับเอาพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ละโว้ มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่ จวบจนประมาณปี พ.ศ.1839 พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือ ลวจักราช เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว ครองเมืองเงินยาง ซึ่งได้แผ่อำนาจครอบคลุมลุ่มแม่น้ำกก และได้สร้างเวียงเชียงราย ขึ้นเป็นกองบัญชาการ ซ่องสุมไพร่พล เพื่อยึดครองหริภุญไชย เนื่องจากหริภุญไชย เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญ และเป็นชุมทางการค้า

พญามังรายได้เข้ายึดครองหริภุญไชย แล้วประทับอยู่เพียง 2 ปี ก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงกุมกาม ใน พ.ศ.1837 ก่อนจะย้ายมาสร้าง เวียงเชียงใหม่ ใน พ.ศ.1839 โดยได้ร่วมกับพระสหายคือ พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหง สถาปนา "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ขึ้น

พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ ทั้งการก่อสร้างวัดวาอาราม มีการตรากฏหมายที่เรียกว่า "มังรายศาสตร์" รวมถึง รับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ เข้ามาเผยแผ่ ในอาณาจักร ซึ่งทำให้พระภิกษุ ในล้านนา สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 อาณาจักรล้านนา ได้ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวาง พร้อมกับได้ผูกสัมพันธไมตรี กับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้เอง ที่ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงไปปลายสมัยพญาเมืองแก้ว เนื่องจากทำสงครามกับเชียงตุง พ่ายแพ้เสียชีวิตไพร่พลเป็นอันมาก ประกอบกับเกิดอุทกภัย กระทบถึงความมั่นคงของอาณาจักร เมืองในการปกครองเริ่มตีตัวออกห่าง พ.ศ.2101 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา กษัตริย์องค์ที่ 15 พม่าได้ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ เพียง 3 วันก็เสียเมือง และกลายเป็นเมืองขึ้นของพม่ายาวนานถึง 216 ปี

ต่อมาในปี พ.ศ.2317 พญาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกันต่อต้านพม่า และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ยกทัพมาขับไล่พม่าพ่ายแพ้ไป ต่อมาในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้ากาวิละ ขึ้นครองเมือง ในฐานะเมืองประเทศราช พระเจ้ากาวิละ ได้ฟื้นฟูเชียงใหม่จนมีอาณาเขตกว้างขวาง การค้าขายรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็ได้จัดส่งบรรณาการ ส่วยสิ่งของและอื่นๆ ให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมืองและขุนนางระดับสูง

ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่ออิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามาในเมืองไทย มีการปฏิรูปการปกครอง โดยผนวกดินแดนล้านนาเข้ามาเป็นมณฑลพายัพ แต่ก็ยังเป็นเมืองประเทศราชในอาณัติราชอาณาจักรสยาม ตรงกับรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ และรัชกาลที่ 5 ได้ทรงขอเจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้าอินทวิชยานนท์ไปเป็นชายา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น

เมื่อมีการสร้างทางรถไฟขึ้นในเวลาต่อมา ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่ ขยายตัวยิ่งขึ้น และใกล้ชิดกรุงเทพฯ มากขึ้น ในปี พ.ศ.2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิก เชียงใหม่มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่ง หลังจากนั้นเชียงใหม่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนมีความสำคัญรองจากกรุงเทพฯ เท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------------
อาณาเขต :
ทิศเหนือ ติดกับรัฐเชียงตุงของประเทศพม่า
ทิศใต้ ติดกับจังหวัดลำพูน และ จังหวัดตาก
ทิศตะวันออก ติดกับ จังหวัดลำปาง จังหวัดเชียงราย และ จังหวัดลำพูน
ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน



จังหวัดเชียงใหม่แบ่งการปกครองออกเป็น 22 อำเภอและ 2 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอหางดง อำเภอแม่แตง อำเภอสารภี อำเภอสันกำแพง อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอเชียงดาว อำเภอสันทราย อำเภอฝาง อำเภอฮอด อำเภออมก๋อย อำเภอพร้าว อำเภอแม่ริม อำเภอสะเมิง อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอสันป่าตอง อำเภอแม่อาย อำเภอดอยเต่า อำเภอเวียงแหง อำเภอไชยปราการ อำเภอแม่วาง กิ่งอำเภอแม่ออน และกิ่งอำเภอดอยหล่อ
ระยะทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอและกิ่งอำเภอต่างๆ
อำเภอแม่ริม 8 กิโลเมตร
อำเภอสารภี 10 กิโลเมตร
อำเภอสันทราย 12 กิโลเมตร
อำเภอสันกำแพง 13 กิโลเมตร
อำเภอหางดง 15 กิโลเมตร
อำเภอดอยสะเก็ด 18 กิโลเมตร
อำเภอสันป่าตอง 22 กิโลเมตร
กิ่งอำเภอแม่ออน 29 กิโลเมตร
อำเภอแม่วาง 35 กิโลเมตร
อำเภอแม่แตง 40 กิโลเมตร
อำเภอสะเมิง 54 กิโลเมตร

อำเภอจอมทอง 58 กิโลเมตร
อำเภอเชียงดาว 68 กิโลเมตร
อำเภอฮอด 88 กิโลเมตร
อำเภอพร้าว 103 กิโลเมตร
อำเภอดอยเต่า 121 กิโลเมตร
อำเภอไชยปราการ 131 กิโลเมตร
อำเภอเวียงแหง 150 กิโลเมตร
อำเภอฝาง 154 กิโลเมตร
อำเภอแม่แจ่ม 156 กิโลเมตร
อำเภอแม่อาย 174 กิโลเมตร
อำเภออมก๋อย 179 กิโลเมตร





--------------------------------------------------------------------------------
หมายเลขโทรศัพท์สำคัญ (รหัสทางไกล 053)
งานข่าวสารการท่องเที่ยว ททท.
02-694-1222 ต่อ 8 , 02-282-9773

ททท.ภาคเหนือ เขต 1 (เชียงใหม่)
053-248-604 , 053-248-607

ประชาสัมพันธ์จังหวัด
053-219-092 , 053-219-291

สำนักงานท่องเที่ยวเทศบาลนครเชียงใหม่
053-252-557 , 053-233-178

ตำรวจท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่
053-278-798 , 053-248-974 , 053-242-966 , 053-248-130

ตำรวจทางหลวง
053-242-441

สภ.อ.เมืองเชียงใหม่
053-814-313-4

สภ.อ.จอมทอง
053-341-193-4

สภ.อ.ช้างเผือก
053-218-443

สภ.อ.เชียงดาว
053-455-081-3

สภ.อ.ดอยสะเก็ด
053-495-491-3

สภ.อ.ดอยเต่า
053-469-019

สภ.อ.ฝาง
053-451-148

สภ.อ.พร้าว
053-475-312

สภ.อ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์
053-211-750

สภ.อ.แม่แจ่ม
053-485-110

สภ.อ.แม่แตง
053-471-317

สภ.อ.แม่ปิง
053-272-212

สภ.อ.แม่ริม
053-297-040

สภ.กิ่ง อ.แม่วาง
053-928-028

สภ.กิ่ง อ.แม่ออน
053-859-452

สภ.อ.แม่อาย
053-459-033

สภ.อ.เวียงแหง
053-477-066

สภ.อ.สะเมิง
053-487-090

สภ.อ.สันกำแพง
053-332-452 , 053-331-191

สภ.อ.สันทราย
053-491-949

สภ.อ.สันป่าตอง
053-311-122-3

สภ.อ.สารภี
053-322-997

สภ.อ.หางดง
053-441-801-3

สภ.อ.อมก๋อย
053-467-003

สภ.อ.ฮอด
053-461-101

รพ.จินดา
053-244-140 , 053-243-673

รพ.ช้างเผือก
053-220-022

รพ.เชียงใหม่ เซ็นทรัล เมมโมเรียล
053-277-090-3

รพ.เชียงใหม่ราม
053-852-590-6

รพ.เซนต์ปีเตอร์ อาย
053-225-011-5

รพ.ดารารัศมี
053-297-207

รพ.ประชาเวศ เชียงใหม่
053-801-999

รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ (สวนดอก)
053-221-122

รพ.แมคคอร์มิค
053-262-200-19

รพ.ลานนา
053-357-234-53

รพ.รวมแพทย์
053-273-576-7

รพ.นครพิงค์
053-890-755-64

รพ.ดอยสะเก็ด
053-495-505

รพ.แม่อาย
053-459-036

รพ.สะเมิง
053-487-124-5

รพ.ฮอด
053-831-443

รพ.แม่แจ่ม
053-485-073

รพ.ดอยเต่า
053-833-098

ปู่เย็น

ประวัติปู่เย็น เฒ่าทรนงแห่งลุ่มน้ำเพชรบุรี
สำหรับประวัติของปู่เย็นนั้น เป็นชาวเพชรบุรี นับถือศาสนาอิสลาม
บิดาชื่อนายสุข แก้วมณี มารดาชื่อนางชม แก้วมณี ตามทะเบียนราษฎร์ปู่เย็นอาศัยอยู่ตามทะเบียนราษฎรเลขที่ 274/4 ถ.มาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ อ.เมืองเพชรบุรี แต่เดิมปู่เย็นประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงวัว ซึ่งหากนับอายุตามหลักฐานทะเบียนราษฎร์ ปู่เย็นจะมีอายุ 89 ปี แต่ปู่เย็นเคยบอกไว้ว่า ตนเกิดปีฉลู ซึ่งตรงกับปีพ.ศ.2443 จึงทำให้ขณะนี้อายุ 108 ปี
ด้านชีวิตครอบครัว
ปู่เย็นแต่งงานอยู่กินกับ "ย่าเอิบ แก้วมณี" ชาวไทยพุทธแถวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยไม่มีฝ่ายใดได้เปลี่ยนศาสนา ซึ่งทั้งสองครองรักกันยืนยาว แต่ปู่เย็นไม่มีลูก เพราะปู่เย็นเป็นหมัน จะมีก็แต่บุตรสาวบุญธรรม 2 คน ซึ่งเมื่อเติบใหญ่ก็แยกย้ายไปมีครอบครัวของตน จากนั้น ย่าเอิบก็ล้มป่วย และเสียชีวิตในวัย 94 ปี ตอนนั้นปู่เย็นร้องไห้กับการจากไปของย่าเอิบเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน และนับจากวันที่ย่าเอิบจากไป ปู่เย็นก็ออกจากบ้านเช่าราคาเดือนละ 800 บาท ขนทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ไม่กี่ชิ้น มาอยู่บนเรือลำเล็กๆ ล่องอยู่บนแม่น้ำเพชรบุรี นับตั้งแต่นั้น

ทั้งนี้ ปู่เย็นใช้ชีวิตอยู่บนเรือมา 10 กว่าปี เลี้ยงชีวิตด้วยการดักอวนหาปลา เหลือกินก็ขายถูกๆ ไม่ต้องมีตาชั่ง 20 30 บาท ปู่ก็ขายแลกเงินเพื่อประทังชีพ โดยไม่นึกว่าจะต้องพึ่งใคร ทั้งๆ ที่ปู่เย็นเองก็มีญาติสนิทมิตรสหาย แต่ปู่เย็นให้เหตุผลง่ายๆ ว่า "เกรงใจเขา" ที่สำคัญปู่เย็นไม่ชอบให้ใครสงสาร แต่ปู่เย็นชอบสงสารคนอื่น
จนกระทั่งวันวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2548
ปู่เย็นได้เข้ารับเรือพระราชทานต่อเบื้องพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นเรือกว้าง 1 เมตร ยาว 6 เมตร มีประทุนหลังคากันแดดกันฝน ด้านครึ่งเรือตอนท้ายจะมีผ้ามุ้งสำหรับกันยุง สำหรับตัวเรือจะเป็นเนื้อไฟเบอร์กลาสตลอดทั้งลำ มีน้ำหนักเบาสามารถลอยตัวอยู่ในน้ำตื้นได้ สร้างความตื้นตันใจแก่ปู่เย็นเป็นอย่างมาก โดยถึงกับพรั่งพรูคำพูดซื่อที่ออกมาจากใจของปู่เย็นด้วยถ้อยความดังนี้

"รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระองค์ใจดี สงสารคนแก่ ขอพระอัลเลาะห์จงคุ้มครองให้พระองค์อายุยืนกว่าผมหลายเท่า เรือพระราชทานสวยมาก จะเอาไปผูกไว้ที่ท่าโรงหม้อซึ่งอยู่ใกล้กับสะพานลำไย ประมาณ 30 เมตร ใช้เป็นที่หลับนอนในเวลาที่อยากพักผ่อน แต่การจับปลายังจะใช้เรือลำเก่าเพราะขึ้นลงในขณะหาปลาสะดวกกว่า เคยบอกว่าอยากได้เครื่องยนต์มาใส่ท้ายเรือเพื่อจะขับไปต่างที่ได้ แต่หลายคนไม่เชื่อว่าขับเรือได้ ถึงขับได้ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอันตราย ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนเรือลำเก่าก็เคยใส่เครื่องยนต์ แต่เครื่องพังไปนานแล้ว ถ้ามีก็ขับได้แต่ไม่เรียกร้อง เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเรื่องมาก"

จากนั้น ทางจังหวัดเพชรบุรีได้คัดเลือกให้ปู่เย็นเป็นผู้สูงอายุดีเด่นประจำปี 2548 รวมถึงได้มอบ ให้ปู่เย็นเป็น "พรีเซ็นเตอร์ท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรี" อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้นมา ปู่เย็นก็ใช้ชีวิตตามแบบฉบับดั่งเดิมที่เคยเป็น โดยอาศัยอยู่ในเรือพระราชทาน และออกเรือไปหาปลามาประทังชีวิต แม้ว่าจะมีผู้คนมาบริจาคเงินให้ หรือแม้ว่าทางจังหวัดจะให้เงินเดือน แต่ปู่เย็นมักจะปฎิเสธ ด้วยเหตุผลว่า "เกรงใจมัน ชีวิตคนเหมือนสะพาน มีขึ้น มีลง มีสูง มีต่ำ พอสุดท้ายก็ตาย"



ปู่เย็น ได้กลายเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศ ภายหลังหลังรายการ “คนค้นฅน” ได้นำเสนอเรื่องราวของ เฒ่าทรนง ไปในคืนวันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 และอีก 2 ตอนต่อมา ซึ่งทำให้ชื่อของผู้เฒ่าแห่งลุ่มน้ำเพชรได้กลายเป็นที่รู้จักทันทีด้วยวิถีปฏิบัติที่เรียบง่าย พอเพียง และทระนง จนกระทั่งกลายเป็นที่สนใจของคนมากมาย และมีผู้คนจากทั่วสารทิศมาเยี่ยมเยียนอยู่อย่างไม่ขาดสาย